ยุคทอง “คอมมูนิตี้มอลล์” ผู้ประกอบการอสังหาฯ -เจ้าของที่ดินพาเหรดลงทุน สร้างมูลค่าเพิ่มโครงการที่อยู่อาศัย ยึดทำเลทองแนวรถไฟฟ้า ชานเมือง

ทุนอสังหาฯแห่ผุด'คอมมูนิตี้มอลล์'
ทุนอสังหาฯแห่ผุด’คอมมูนิตี้มอลล์’ – The Community mall golden age

ท่ามกลางการขยายตัวของ “ช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์” ขนาดใหญ่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเปิดตลาดของศูนย์การค้าขนาดย่อม หรือ คอมมูนิตี้มอลล์ (Community Mall) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมทั้งในเชิงการลงทุน และการบริโภค จะเห็นว่ามีโครงการใหม่ทยอยเกิดขึ้นทั่วทุกมุมเมือง ตามการขยายตัวของชุมชน การเติบโตของกำลังซื้อ และไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ นิยมซื้อสะดวกใกล้บ้านมากขึ้น เป็นที่น่าสังเกตว่าบรรดาแลนด์ลอร์ด หรือเจ้าของที่ดิน รวมทั้งกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ก้าวสู่ตลาดเป็น “ทุนใหม่” จำนวนไม่น้อย

สมาคมศูนย์การค้าไทย ให้คำจำกัดความธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ หรือ เนเบอร์ฮู้ดมอลล์ 1 ใน 5 ประเภทธุรกิจศูนย์การค้า ที่มีพื้นที่ให้เช่าตั้งแต่ 5,000-40,000 ตร.ม. มีห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กอย่างน้อย 1 ห้าง หรืออย่างน้อยต้องมี “ซูเปอร์มาร์เก็ต” ครอบคลุมกำลังซื้อ 5,000-200,000 คน ขึ้นกับขนาดของโครงการ มี “กำลังซื้อ” อาศัยอยู่ในบริเวณรัศมี 4-6 กิโลเมตร เกิดเทรนด์ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ท่ามกลางโครงการหมู่บ้าน และบริหารงานโดยกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยมากขึ้น

สยามฟิวเจอร์ผุด15แห่งใน5ปี

นายนพพร วิฑูรชาติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอฟ ผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้าแบบเปิด (คอมมูนิตี้มอลล์) กล่าวว่า ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ยังมีแนวโน้มขยายตัวสูง แม้จะมีผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาดพัฒนาโครงการใหม่เป็นจำนวนมาก แต่เชื่อว่าจะไม่เกิดภาวะ “ล้นตลาด” ในเร็ววันนี้

เนื่องจากการขยายตัวของเมือง ก่อเกิด “ชุมชนใหม่” มีความต้องการสินค้าและบริการตามการเติบโตทางสังคม รายได้ และเศรษฐกิจ ยิ่งมีการพัฒนาเมกะโปรเจ็คต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เป็นโอกาสของอุตสาหกรรมค้าปลีกในรูปแบบต่างๆ ทั้งโครงการขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก

สำหรับกลุ่มสยามฟิวเจอร์ฯ มุ่งพัฒนาโครงการใหม่เฉลี่ย 3 แห่งต่อปี ต่อเนื่องในช่วง 5 ปีจากนี้ ทั้งการลงทุนขนาดใหญ่และขนาดเล็ก หรือจะมีโครงการใหม่เปิดบริการอย่างน้อย 15 แห่ง เฉลี่ยลงทุนแห่งละ 500 ล้านบาทในขนาดพื้นที่เช่าตั้งแต่ 10,000-15,000 หมื่นตร.ม.

“ศูนย์การค้าแบบเปิดหรือคอมมูนิตี้มอลล์เป็นคอนเซ็ปต์และธุรกิจหลักของสยามฟิวเจอร์ฯ ที่มีความเชี่ยวชาญ มองว่าตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ในสิ้นปี 2560 คาดการณ์จะมีพื้นที่ขายเพิ่มขึ้นอีกถึง 2 แสนตร.ม. จากปัจจุบันมีพื้นที่ให้เช่ารวม 4.5 แสนตร.ม.”

ชู 3 จุดแข็งแนะผู้ประกอบการ

ผู้บริหารสยามฟิวเจอร์ฯ กล่าวอีกว่า การพัฒนาโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ให้มีศักยภาพและประสบความสำเร็จ ต้องมีครบ 3 องค์ประกอบ กล่าวคือ “ทำเลที่ดี” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจค้าปลีกทุกประเภท “คอนเซ็ปต์” ของโครงการที่ชัดเจนมีความแตกต่างจากคู่แข่งขัน สุดท้าย “การบริหารแบบมืออาชีพ”

ในฐานะผู้นำตลาดคอมมูนิตี้มอลล์ มีการขยายแบบเครือข่าย หรือ เชนสโตร์ สะท้อนความเชี่ยวชาญที่กำลังถูก “ต่อยอด” ทางธุรกิจผ่านความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ โดยล่าสุดได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) พัฒนาโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ ขนาด 8,000-10,000 ตร.ม.ภายในพื้นที่โครงการลุมพินี ทาวน์ ชิป รังสิต คลอง 1 ซึ่งนับเป็นโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ของแอลพีเอ็น คาดเปิดบริการปลายปี 2556 นี้

“เป็นโครงการนำร่อง ซึ่งในอนาคตสยามฟิวเจอร์ฯ และแอลพีเอ็น ยังจะมีการพัฒนาโครงการร่วมกันอีกหลายแห่งในทำเลที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อ”

อสังหาฯ แห่ลงทุนคอมมูนิตี้มอลล์

ทั้งนี้จากการสำรวจตลาดพบว่ากลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ เปิดการลงทุนธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ โดย บริษัท วังทอง กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เตรียมพัฒนาโครงการคอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกที่อยุธยา ลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท พื้นที่ประมาณ 10 ไร่ ในโครงการบ้านแนวใหม่ The Palazzetto วังน้อย ภายใต้แนวคิด “ที่นี่ อิตาลี..เมืองไทย” บ้านท่ามกลางสถาปัตยกรรมแคว้นทัสคานี อิตาลี ล้อมด้วยคอมมูนิตี้มอลล์สไตล์อิตาลี

ขณะที่ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) มีการพัฒนาคอมมูนิตี้มอลล์ ภายใต้ชื่อ “SENA Fest” เปิดบริการเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา กลุ่ม “โตโยต้า ทีบีเอ็น” ประสบความสำเร็จจาก “พาซิโอ” คอมมูนิตี้มอลล์สาขาแรกย่านถนนอ่อนนุชที่เปิดบริการร่วมไปกับโชว์รูมและศูนย์บริการรถยนต์โตโยต้า ขยายตลาดย่านสุขาภิบาล 3 และกาญจนาภิเษก

นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์มีแนวโน้มขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง มีนักลงทุนเข้าพัฒนาโครงการ 10-15 แห่งต่อปี ซึ่งจะมีการลงทุนในอัตราดังกล่าวนี้อีกหลายปีข้างหน้า โดยทำเลหลักเน้นเกาะแนวรถไฟฟ้า และย่านชานเมืองที่มีกำลังซื้อ รวมทั้งการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 เป็นโอกาสทางธุรกิจสำหรับคอมมูนิตี้มอลล์ จากการหลั่งไหลเข้ามาของทุน แรงงาน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่จะเข้ามาเมืองไทยเทียบประเทศเพื่อนบ้าน

“โอกาสของธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์มีมาก การเปิดเออีซีคาดการณ์ว่าจะมีคนแห่เข้าเมืองไทยมากกว่า ชาวต่างชาติเข้ามาภาคบริการมากขึ้น คอมมูนิตี้มอลล์จะตอบโจทย์ทั้งเชิงการลงทุนและความต้องการของลูกค้า”

สอดคล้องกับข้อมูลของคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุด้วยว่า การขยายตัวของคอมมูนิตี้มอลล์อย่างต่อเนื่อง นับเป็นพื้นที่เชิงพาณิชยกรรมมีขนาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วรองจากพื้นที่ห้างสรรพสินค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ต คาดว่าในปีหน้าพื้นที่คอมมูนิตี้มอลล์จะเพิ่มขึ้นแซงหน้าไฮเปอร์มาร์เก็ตที่ปัจจุบันมีปริมาณพื้นที่รวม 6.65 แสนตร.ม. จาก 6.25 แสนตร.ม.ในสิ้นปี 2555

“พฤติกรรมลูกค้าหันซื้อสินค้าใกล้บ้านมากกว่าเข้าไปซื้อสินค้าในเมือง หรือในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า เลี่ยงปัญหารถติด หาที่จอดรถยาก” นางสาวกฤษชนกกล่าว

สำหรับการลงทุนในธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ของอินเด็กซ์ฯ เชื่อว่ามีช่องว่างทางการตลาด แม้จะมีศูนย์การค้ายักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะเซ็นทรัลขยายเครือข่ายเข้าไปในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หากมี “ดีมานด์” และกำลังซื้อเพียงพอ รวมทั้งราคาที่ดินไม่สูงเกินไปจะสามารถเปิดการลงทุนได้แน่นอน ผ่านโมเดลธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ ภายใต้ชื่อ “เดอะวอล์ค” ตั้งเป้าหมายใน 5 ปีข้างหน้าเปิดบริการให้ได้ 5 แห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เม็ดเงินลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยลงทุนเฉลี่ยแห่งละ 800 ล้านบาทขนาดพื้นที่โครงการ 4.5 หมื่น ตร.ม.

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 14 เมษายน 2556

Visit link:
ทุนอสังหาฯแห่ผุด’คอมมูนิตี้มอลล์’

About the author

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Sign Up for Our Newsletter

Get notified of our weekly selection of news

You May Also Like

A short Guide to Taxation in Thailand

If the land or building is left empty or unused for a period of more than three consecutive years, it will be subject to an additional rate of 0.3% every three years, but the amount will not exceed 3%.