![]() |
สหรัฐฯ และจีนพุ่งต่อเนื่อง อิตาลีและซาอุดีอาระเบียติดท็อป 100 ครั้งแรก #QSWUR
ลอนดอน, 19 มิ.ย. 2568 /PRNewswire/ — ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษาระดับโลก QS Quacquarelli Symonds เผยแพร่ผลการจัดอันดับ QS World University Rankings ครั้งที่ 22
MIT ยังคงครองอันดับ 1 ของโลกเป็นปีที่ 14 ติดต่อกัน ขณะที่ Imperial College London รั้งอันดับสอง และ Stanford University ทะยานขึ้นสู่อันดับสาม
10 อันดับมหาวิทยาลัยโลกประจำปี 2569 (เทียบกับปี 2568)
1 / 1 MIT – สหรัฐอเมริกา
2 / 2 Imperial College London – สหราชอาณาจักร
3 / 6 Stanford University – สหรัฐอเมริกา
4 / 3 University of Oxford – สหราชอาณาจักร
5 / 4 Harvard University – สหรัฐอเมริกา
6 / 5 University of Cambridge – สหราชอาณาจักร
7 / 7 ETH Zurich – สวิตเซอร์แลนด์
8 / 8 National University of Singapore – สิงคโปร์
9 / 9 UCL – สหราชอาณาจักร
10 / 10 California Institute of Technology – สหรัฐอเมริกา
การจัดอันดับปีนี้ครอบคลุมกว่า 1,500 สถาบันใน 106 ประเทศ โดยสหรัฐอเมริกานำโด่งด้วยจำนวนมหาวิทยาลัยติดอันดับมากที่สุด 192 แห่ง ตามด้วยสหราชอาณาจักร (90 แห่ง) และจีนแผ่นดินใหญ่ (72 แห่ง) ส่วนอินเดีย (54 แห่ง) และเยอรมนี (48 แห่ง) ตามมาเป็นอันดับสี่และห้า
คุณ Ben Sowter รองประธานอาวุโสของ QS กล่าวว่า "เรากำลังเห็นการถ่ายเทของอิทธิพลทางวิชาการระดับโลกอย่างชัดเจน การจัดอันดับสะท้อนถึงจุดศูนย์กลางใหม่ของการศึกษาระดับอุดมศึกษา ที่เริ่มเคลื่อนมาทางฝั่งเอเชีย ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนมหาวิทยาลัยติดอันดับมากที่สุดในโลก แม้ว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำดั้งเดิมยังคงรักษาตำแหน่งได้ดี แต่ข้อมูลชี้ให้เห็นถึงแรงส่งในภูมิภาคที่ลงทุนอย่างจริงจังด้านศักยภาพงานวิจัย ความเป็นนานาชาติ และยุทธศาสตร์ระยะยาว การจัดอันดับ QS World University Rankings ไม่ได้เพียงชี้ให้เห็นถึงความเป็นเลิศของแต่ละสถาบัน แต่ยังสะท้อนเส้นทางใหม่ของการผลิตองค์ความรู้ระดับโลก ซึ่งกำลังเปลี่ยนผ่านสู่โลกวิชาการแบบหลายขั้ว ที่มีการแข่งขันสูงขึ้น เชื่อมโยงกันมากขึ้น และทะเยอทะยานยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา"
ไฮไลต์สำคัญ
- เอเชีย: ขึ้นแท่นภูมิภาคที่มีจำนวนมหาวิทยาลัยติดอันดับมากที่สุดในโลกที่ 565 แห่ง แซงหน้ายุโรป (487), อเมริกา (358), แอฟริกา (47) และ โอเชียเนีย (44) ทั้งยังมีมหาวิทยาลัยติดโผใหม่มากที่สุด 84 แห่ง เทียบกับอเมริกา 10 แห่ง, ยุโรป 9 แห่ง, แอฟริกา 8 แห่ง และโอเชียเนีย 1 แห่ง
- สหรัฐฯ: มีจำนวนสถาบันที่อันดับดีขึ้นมากกว่าลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี โดยเฉพาะ Stanford ที่พุ่งขึ้นด้วยคะแนนจากเกณฑ์ด้านความยั่งยืนและอาจารย์นานาชาติ ขณะที่ University of Chicago กลับเข้าสู่ท็อป 20 อีกครั้ง
- สหราชอาณาจักร: มีมหาวิทยาลัยในท็อป 10 เท่ากับสหรัฐฯ ที่ 4 แห่ง และยังคงเป็นผู้นำในด้านสัดส่วนนักศึกษานานาชาติ
- แคนาดา: McGill แซง Toronto ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ (อันดับที่ 27 ของโลก) โดยแคนาดาโดดเด่นในเกณฑ์ด้านความยั่งยืน
- ออสเตรเลีย: ติดท็อป 20 สองแห่ง แต่ University of Sydney ร่วงลงสู่อันดับ 25 และมหาวิทยาลัยถึง 71% มีอันดับลดลง
- จีน: สถาบัน 45% มีอันดับเพิ่มขึ้น โดย Tsinghua ขึ้นสู่อันดับ 17 และ Fudan พุ่งขึ้นเก้าอันดับมาที่อันดับ 30
- อินเดีย: IIT Delhi แซง IIT Bombay ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของประเทศที่อันดับ 123
- อิตาลีและซาอุดีอาระเบีย: เข้าสู่ท็อป 100 เป็นครั้งแรก โดย Politecnico di Milano อยู่อันดับ 98 และ KFUPM อยู่อันดับ 67
- แอฟริกา: แอฟริกาใต้ยึดท็อปสี่ของภูมิภาค โดย University of Cape Town ขยับขึ้น 21 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 150
โลโก้ – https://mma.prnasia.com/media2/2714473/QSWUR_Logo.jpg?p=medium600
This article was produced by Cision PR Newswire, our trusted news partner. The views expressed and the content presented here are solely those of the author and may not fully reflect the opinions of Thailand Business News. |
Read the original article : เอเชียมาแรง MIT ครองแชมป์ต่อเนื่อง QS ประกาศผลจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก ปี 2569